วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทำไมบ้านสมัยนี้ต้องสร้างด้วยระบบแผ่นสำเร็จหรือ precast

มีคนถามมากว่า ทำไมบ้านสมัยนี้ต้องสร้างด้วยระบบแผ่นสำเร็จหรือ precast



จาก สภาพปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างในปัจจุบัน  ทำให้ค่าก่อสร้างถีบตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก  สภาพดังกล่าวนับวันยิ่งมีปัญหาเพิ่มขึ้น ทำให้รูปแบบของการก่อสร้างอาคารสำหรับผู้ประกอบการมีการพัฒนาขึ้น  เพื่อให้ลดการใช้แรงงานและลดเวลาการก่อสร้าง รูปแบบการก่อสร้างเท่าที่พบในปัจจุบัน  มีดังนี้

1. โครงสร้างแบบใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือคอนกรีตอัดแรงสำเร็จรูป
 
 
 
รูปแบบดังกล่าวใช้วิธีผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างอาคาร เช่น เสา คาน และพื้น จากโรงงานผลิต หรือจากพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่ก่อสร้าง รูปแบบการก่อสร้างแบบนี้จะไม่ต่างจากรูปแบบที่ก่อสร้างในปัจจุบัน แต่ใช้วิธีผลิตโครงสร้างหลักของอาคารมาติดตั้งที่หน้างาน เพื่อให้สามารถลดเวลาการก่อสร้างในส่วนโครงสร้าง  ส่วนงานสถาปัตยกรรมนั้นก็ยังคงใช้วิธีการเดิม คือใช้แรงงานในการก่อฉาบตามเดิม
 

ข้อดี สามารถ ลดเวลาการก่อสร้างในส่วนโครงสร้างได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากการติดตั้งชิ้นส่วนสำเร็จรูปสามารถทำได้ค่อนข้างเร็ว เทียบกับการก่อสร้างระบบเดิม

ข้อเสีย จุด อ่อนของระบบดังกล่าวจะอยู่ที่มาตรฐานการติดตั้ง  และรายละเอียดของรอยต่อของชิ้นส่วนสำเร็จรูป  การทำงานต้องอาศัยการออกแบบที่ดี และผู้ทำการติดตั้งต้องมีความชำนาญ เพื่อให้รอยต่อมีความแข็งแรงตามที่ออกแบบไว้

2. โครงสร้างแบบผนังคอนกรีตเสริมเหล็กรับน้ำหนักเทกับที่

การทำงานจะใช้วิธีตั้งแบบผนัง และพื้นพร้อมกัน เสริมเหล็กแล้วเทคอนกรีตให้เป็นโครงสร้างส่วนของผนัง และพื้นไปในตัว
 

ข้อดี วิธี ดังกล่าวสามารถลดเวลาการก่อสร้างได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากแทบไม่จำเป็น ต้องทำการก่อผนังอีกเลย ผนังจะเป็นโครงสร้างรับน้ำหนักไปในตัว โดยไม่จำเป็นต้องมีเสาปูดออกมาให้เห็น

ข้อเสีย เนื่อง จากผนังและพื้นทุกด้านถูกออกแบบให้เป็นโครงสร้างหลักของอาคาร  ดังนั้น การปรับเปลี่ยนรูปแบบแทบจะทำไม่ได้เลย เช่น การเปิดช่องหน้าต่าง, เปลี่ยนช่องหน้าต่างเป็นประตู หรือแม้แต่การเจาะพื้นเปลี่ยนตำแหน่งบันได ไม่ควรทำเนื่องจากจะมีผลต่อความแข็งแรง


3. โครงสร้างแบบผนังคอนกรีตเสริมเหล็กรับน้ำหนักแบบหล่อสำเร็จ

ลักษณะโครงสร้างคล้ายกับแบบที่ 2 แต่รูปแบบการก่อสร้างนั้นต่างออกไป โดยโครงสร้างผนังและพื้นจะทำการหล่อสำเร็จจากโรงงาน หรือหล่อจากพื้นที่ใกล้เคียงสถานที่ก่อสร้าง แล้วนำมาประกอบเป็นอาคารที่หน้างาน





ข้อดี แน่ นอน สิ่งที่เห็นชัดที่สุดสำหรับการก่อสร้างด้วยวิธีนี้ คือระยะเวลาในการก่อสร้างจะลดลงได้ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับรูปแบบการก่อสร้างแบบที่ 1 และ 2  ผู้ประกอบการ  ผู้นำในตลาดสามารถใช้เวลาก่อสร้างเพียง 45 วัน/หลัง

ข้อเสีย จุด อ่อนสำหรับการก่อสร้างแบบนี้คือ การติดตั้งต้องมีมาตรฐานการทำงาน และควบคุมงานที่ดี เนื่องจากมีรอยต่อจำนวนมากในอาคาร ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาน้ำรั่ว หรืออาจจะพบรอยแตกร้าวบริเวณรอยต่อของแผ่นผนังสำเร็จ ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาแล้วสามารถแก้ปัญหาได้ค่อนข้างยาก

4. โครงสร้างรูปแบบผสม

ลักษณะโครงสร้างอาคารแบบนี้จะใช้รูปแบบการก่อสร้าง 1, 2 และ 3 มาผสมกัน เพื่อให้การก่อสร้างมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่หน้าตาเหมือนกันหมด โดยโครงสร้างหลักอาจเป็นการใช้โครงสร้างแบบหล่อกับที่  ผนังบริเวณด้านหน้าบ้านซึ่งจะมีรูปแบบต่าง ๆ กัน จะใช้วิธีหล่อสำเร็จมาติดตั้ง  ในส่วนที่มีปัญหาเรื่องน้ำรั่วง่าย ๆ เช่น ห้องน้ำ   ก็อาจจะใช้วิธีก่ออิฐในที่ เพื่อให้ได้รูปแบบตามที่ต้องการ


 
ดังนั้น สำหรับท่านเจ้าของบ้านที่อาจจะหาซื้อบ้าน ควรจะศึกษา และสอบถามกับโครงการก่อนว่าลักษณะโครงสร้างบ้านเป็นอย่างไร  มีผลต่อรูปแบบการใช้งานของท่านหรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น